ประวัติ ของ โยชิโอะ ทาจิบานะ

ชีวิตช่วงต้นและราชการทหาร

ทาจิบานะเป็นชาวจังหวัดเอฮิเมะ หลังสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง ได้เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนนายร้อยทหารบกจักรวรรดิญี่ปุ่น รุ่นที่ 25 จนสำเร็จใน ค.ศ. 1913 ช่วงแรกที่รับราชการทหารนั้นไม่มีผลงานโดดเด่นนัก ครั้นเดือนกันยายน ค.ศ. 1916 ถึงเดือนมกราคม ค.ศ. 1917 เขาเข้าเรียนพลศึกษาที่โรงเรียนทหารบกโทยามะ ต่อมาในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1923 เขาได้รับเลื่อนยศเป็นร้อยเอก และในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1924 ได้บัญชาการกองพันกองหนึ่งในกรมทหารราบที่ 12 กองทัพบกจักรวรรดิญี่ปุ่น ภายหลัง เขาได้ปฏิบัติงานในหน่วยเสนาธิการของกองพลที่ 11 กองทัพบกจักรวรรดิญี่ปุ่น และได้เป็นผู้แทนกองทัพบกในวิทยาลัยพณิชยการทากามัตสึ ครั้นเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1930 เขาได้ยศพันตรี และในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1935 ได้ยศพันโท ในกลางคริสต์ทศวรรษ 1930 เขาเป็นเจ้าหน้าที่ประสานงานอยู่ในกองทัพบกจักรวรรดิหมั่นโจวกั๋ว จนเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1939 เขาได้บังคับบัญชากรมทหารราบที่ 65 กองทัพบกจักรวรรดิญี่ปุ่น และได้รบในยุทธการจ้าวหยาง–อี๋ชางในระหว่างสงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สอง

ใน ค.ศ. 1942 ทาจิบานะได้เข้าประจำในหน่วยเสนาธิการของกองบัญชาการรักษาภูมิภาคฮิโรชิมะ และในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1943 เขาได้รับเลื่อนยศเป็นพลตรี ครั้นเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1944 เขาได้บังคับบัญชากองพลผสมอิสระที่ 1 กองทัพบกจักรวรรดิญี่ปุ่น ซึ่งมีภารกิจเป็นการรักษาหมู่เกาะโองาซาวาระมิให้ถูกกองทัพอเมริกันรุกรานในช่วงเตรียมปฏิบัติการดาวน์ฟอลเบื้องต้น ครั้นวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1945 เขาได้รับเลื่อนยศเป็นพลโท และไดับังคับบัญชากองพลทหารราบที่ 109 กองทัพบกจักรวรรดิญี่ปุ่น

สงครามโลกครั้งที่สอง

กลาง ค.ศ. 1945 ฝ่ายสัมพันธมิตรปิดกั้นน่านน้ำ ทำให้กองทหารญี่ปุ่น 25,000 กองบนเกาะชิจิจิมะขาดเสบียง แต่ไม่ถึงกับอดอยาก แม้จะต้องลดอัตราส่วนข้าวรายบุคคลในแต่ละวันลงจาก 400 กรัมเป็น 240 กรัมก็ตาม กระทั่งปลายปีนั้น เกิดเหตุการณ์ซึ่งภายหลังเรียกว่า อุบัติการณ์ชิจิจิมะ อันเป็นเหตุให้หน่วยเสนาธิการของทาจิบานะเริ่มกินเนื้อมนุษย์[1][2] ในเหตุการณ์นั้น ทหารอากาศอเมริกัน 9 คนถูกยิงเครื่องบินตกขณะเข้าทิ้งระเบิดที่เกาะชิจิจิมะ 8 คนถูกจับ ส่วนคนที่ 9 หนีรอดไปได้ คือ จอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช นักบินอายุ 20 ปี ซึ่งภายหลังได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ[3][4] ในช่วงเวลาหลายเดือน มีการทยอยประหารทหารที่ถูกจับ โดยอ้างว่า เป็นคำสั่งของทาจิบานะ ซึ่งเป็นที่รับรู้ของหน่วยเสนาธิการของเขาว่า เป็นผู้บังคับบัญชาที่เหี้ยมโหดและติดสุรา เมื่อประหารแล้ว มีการส่งศพไปให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายแพทย์ชำแหละ แล้วส่งตับกับอวัยวะอื่น ๆ ไปให้ทหารเสนาธิการชั้นผู้ใหญ่บริโภค[5]

เมื่อสิ้นสงครามใน ค.ศ. 1945 ทาจิบานะกับหน่วยเสนาธิการของเขาถูกเจ้าหน้าที่อเมริกันจับกุมและเนรเทศไปยังกวมเพื่อรับการไต่สวนฐานกระทำอาชญากรรมสงครามอันเกี่ยวเนื่องกับอุบัติการณ์ชิชิจิมะ การไต่สวนมีในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1946[6] แต่การกินเนื้อมนุษย์ไม่เป็นความผิดตามกฎหมายระหว่างประเทศในครั้งนั้น และทาจิบานะถูกตั้งข้อหา "ขัดขวางไม่ให้มีการปลงศพอย่างสมเกียรติ" แทน[5] ที่สุดแล้ว ทาจิบานะ กับจำเลยคนอื่น ๆ อีก 4 คน ถูกพิพากษาให้ประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ[7] ทั้ง 5 คนถูกประหารและฝังศพไว้ที่กวมโดยไม่ระบุชื่อหลุมศพไว้